โกศล ดีศีลธรรม
ผู้จัดการทั่วไป(General Manager)
บริษัท อีควิตี้ เซอร์วิสเซส แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด(Equity Services and Solutions)
ปัจจุบันสารสนเทศมีบทบาทสนับสนุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ต้องมีอัปเดตข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการทำงานอย่างเช่น การประเมินสภาพสินทรัพย์เครื่องจักรที่สนับสนุนสายการผลิต ข้อมูลสำคัญได้แก่ สมรรถนะการใช้งาน ความน่าเชื่อถือ(Reliability) และการวิเคราะห์สภาพความชำรุดด้วยการวัดความสั่นสะเทือนเครื่องจักร(Machine Vibration)หรือความเยื้องศูนย์ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกป้อนสู่ระบบเพื่อใช้สำหรับวางแผนงานบำรุงรักษาและสนับสนุนต่อการตัดสินใจ ดังนั้นการจัดทำระบบสารสนเทศควรมุ่งความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ(Business Objective) ที่มักใช้มาตรวัดเทียบเคียงทางการเงินเพื่อนำเสนอรายงานต่อผู้บริหารและแสดงถึงผลกระทบทางการเงินของสินทรัพย์หรือเครื่องจักรที่ติดตั้งในแต่ละส่วนการผลิตตลอดช่วงอายุการใช้งาน(Life Cycle) รวมทั้งจัดทำมาตรวัดติดตามประเมินผล ดังกรณีระบบ Steam Turbine โรงผลิตกระแสไฟฟ้า(Power Generation) ประกอบด้วยมาตรวัดสำคัญ อาทิ
- ผลิตผล(กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ปี)
- ต้นทุนดำเนินงานในสินทรัพย์ / กิโลวัตต์-ชั่วโมง(Asset Operations Cost per KWh) ประกอบด้วย ระบบควบคุมและค่าแรงงาน
- ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาสินทรัพย์/ กิโลวัตต์-ชั่วโมง (Asset Maintenance Cost / KWh) ได้แก่ การตรวจสอบสภาพเครื่องจักร ค่าอะไหล่/ชิ้นส่วน การตรวจซ่อมใหญ่(Major Overhaul) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
- ค่าสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (Asset Utilities Cost/ KWh) เช่น ค่าน้ำที่ป้อนข้าสู่ระบบ(Feed Water) และค่าไฟฟ้าที่จ่ายเข้าสู่ระบบ
- ค่าประกันภัย / กิโลวัตต์-ชั่วโมง(Asset Insurance Cost/KWh)
สำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาจดำเนินการจัดเก็บข้อมูลเพื่อประเมินความสามารถทำกำไรรายวันจากเครื่องจักรในสายการผลิต(Daily Asset Profitability) โดยหาจากความสัมพันธ์ ดังนี้
ความสามารถทำกำไรรายวัน(Daily Asset Profitability)
= (รายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตแต่ละวัน – ผลรวมค่าใช้จ่ายแต่ละวัน)
ส่วนรายการต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ใช้ประเมิน ได้แก่ ต้นทุนสินทรัพย์ที่ลงทุน(Cost of Capital) ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้สำหรับกิจกรรมการผลิตแต่ละวัน ต้นทุนดำเนินงานที่เกิดขึ้นแต่ละวัน ค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษา ค่าสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค ค่าประกันภัยและต้นทุนความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด(Unplanned Event Risk Cost) โดยทั่วไปองค์ประกอบหลักสารสนเทศที่จำเป็นสำหรับงานบำรุงรักษา ประกอบด้วย
- สารสนเทศงานออกแบบทางวิศวกรรม
เป็นสารสนเทศพื้นฐานของการบริหารสินทรัพย์(Asset Management) โดยเฉพาะรายละเอียดข้อกำหนดการออกแบบเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เช่น แผนภาพเครื่องมือและเครื่องวัดในโรงงาน แบบ(Drawing) โดยมีการจัดทำในรูปเอกสารเพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจในข้อกำหนดรายละเอียดและสามารถใช้เป็นข้อมูลการจัดซื้ออย่างเหมาะสม นอกจากนี้สารสนเทศงานออกแบบทางวิศวกรรมยังถูกใช้ประเมินความเสี่ยง(Risk Assessment) ในแต่ละองค์ประกอบเครื่องจักรด้วยรูปแบบความเสียหาย(Failure Mode) ที่มีผลกระทบต่อความเสียหายของโรงงาน โดยมุ่งทดสอบความน่าเชื่อถือชิ้นส่วนหลักที่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวมเพื่อดำเนินการถอดเปลี่ยนก่อนที่จะเกิดความชำรุดเสียหาย โดยทั่วไปมักดำเนินการทดสอบทางกายภาพหรือปัจจัยสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพ เช่น การกัดกร่อน(Corrosion) ความสึกหรอจากความสั่นสะเทีอน(Vibration)และวิเคราะห์ผลกระทบจากความชำรุดเสียหายด้วย FMEA เพื่อกำหนดแนวทางป้องกัน ซึ่งผลลัพธ์จากการประเมินจะถูกใช้ระบุแนวทางตรวจติดตามสภาพ หากองค์ประกอบหรือชิ้นส่วนเกิดความชำรุดก็จะดำเนินการถอดเปลี่ยน(Replacement)
- กฏระเบียบด้านความปลอดภัย
การเข้าใจกฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวกับการติดตั้ง การปฏิบัติงาน และการบำรุงรักษาเครื่องจักรเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากความปลอดภัยได้มีผลต่อการตัดสินใจเมื่อต้องดำเนินการซ่อมแซมในสภาพที่มีความเสี่ยงสูง(High Risk Repair) ตลอดจนการกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานเครื่องจักรที่ได้รับการซ่อมแซม ดังนั้นทีมงานพัฒนาจัดทำระบบต้องเข้าใจในกฎระเบียบและข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อใช้ระบุแผนงานบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ยังใช้เป็นข้อมูลพิจารณาเงื่อนไขการทำประกันภัยให้กับเครื่องจักรอย่างเหมาะสม โดยนำข้อมูลโครงสร้างเครื่องจักรที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลสินทรัพย์โรงงาน(Plant Asset Database) เพื่อประเมินความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อโรงงาน(Overall Plant Risk Assessment) โดยมีการติดตามประเมินผลรายเดือน ผลลัพธ์การประเมินจะถูกทบทวนกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน โดยมีการระบุองค์ประกอบหลักที่มีผลกระทบต่อระบบความน่าเชื่อถือโดยรวมของโรงงานและลำดับความสำคัญแต่ละองค์ประกอบของเครื่องจักรไว้ในแผนงานบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
- การควบคุมปฏิบัติการในกระบวนการผลิต
สำหรับแผนปฏิบัติการ ประกอบด้วย กำหนดการทำงานทั้งในส่วนแรงงานและเครื่องจักรในกระบวนการผลิต ทำให้ทราบระดับงานค้าง(Backlog) หรือปัญหาคอขวด(Bottleneck) ที่เกิดขึ้นในสายการผลิต โดยข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกใช้สนับสนุนการบริหารเครื่องจักร สำหรับโรงงานทั่วไปมักใช้ระบบควบคุมแบบกระจาย(Distributed Control System) หรือ DCS ติดตามควบคุมสถานะกระบวนการผลิต ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ทราบสภาวะการเดินเครื่องจักร ความเร็ว อุณหภูมิ และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อสภาพเครื่องจักร ดังนั้นทีมงานฝ่ายบำรุงรักษาต้องให้ความสำคัญในการติดตามจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้วิเคราะห์ประเมินประสิทธิผล
- การวางแผนความน่าเชื่อถือ
การวางแผนความน่าเชื่อถือ(Reliability Planning) เป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การปรับปรุงการใช้สินทรัพย์ (Asset Utilization)อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการวางแผนจะเริ่มจากการกำหนดมาตรวัดหลักสำหรับติดตามและกำหนดเป้าหมายปรับปรุง เช่น เวลาการหยุดเดินเครื่องจักร ค่าล่วงเวลาในงานบำรุงรักษา และค่าอะไหล่/ชิ้นส่วนสำหรับถอดเปลี่ยน เป็นต้น หลังจากได้กำหนดเป้าหมายการปรับปรุงแล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการศึกษาเครื่องจักรหลักที่มีผลกระทบต่อสายการผลิต รวมถึงกฎความปลอดภัย ต้นทุนความชำรุดเสียหาย และแนวทางบำรุงรักษาที่มุ่งความน่าเชื่อถือ(Reliability-Centered Maintenance) หรือ RCM ผลลัพธ์การศึกษา คือ แผนงานบำรุงรักษาที่เหมาะสมสำหรับเครื่องจักร โดยเป็นการบูรณาการแนวทางบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์(Predictive Maintenance) กับการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน(Preventive Maintenance)และการบำรุงรักษาเชิงรับ(Reactive Maintenance) หรือ Failure-Based Maintenance โดยนักวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ(Reliability Analyst) จะทำการทบทวนความถี่และรูปแบบความชำรุดเสียหาย ซึ่งหลังจากที่เกิดความชำรุดขึ้นทางทีมงานจะดำเนินการวิเคราะห์เพื่อระบุสาเหตุหลักของปัญหาความชำรุดที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ และนำผลลัพธ์การวิเคราะห์มาใช้วางแผนป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นอีก(Prevent Future Occurrence) รวมถึงติดตามปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความชำรุดขึ้นในเวลาอันใกล้
- การปฏิบัติงานบำรุงรักษา
สำหรับขั้นตอนปฏิบัติงานบำรุงรักษาจะใช้ผลลัพธ์ช่วงวางแผนความน่าเชื่อถือ(Reliability Planning) โดยมีระบบบริหารสินทรัพย์องค์กร(Enterprise Asset Management /EAM) หรือระบบบริหารงานบำรุงรักษาด้วยคอมพิวเตอร์(CMMS) สนับสนุนการจัดทำกำหนดการบำรุงรักษาและมาตรวัดความน่าเชื่อถือ(Reliability Metric) รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายหรืองานซ่อมที่ค้าง(Backlog) โดยมีการเก็บประวัติข้อมูลปัญหาตลอดจนแนวทางแก้ปัญหา ข้อมูลเหล่านี้ถูกใช้ระบุแนวทางดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษาในอนาคต(Future Direction of Maintenance Activities)
- การติดตามประเมินสภาพเครื่องจักร
เนื่องจากเครื่องจักรเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่าง ๆ ต่อกระบวนการ เช่น คุณภาพ กำลังการผลิต ความปลอดภัย ความเสี่ยง และต้นทุนการผลิต เป็นต้น ดังนั้นการป้อนกลับสารสนเทศแบบเวลาจริง(Realtime) จึงมีบทบาทต่อการแจ้งเตือนความชำรุดที่อาจเกิดขึ้นและปรับปรุงความน่าเชื่อถือระบบด้วยการใช้เทคโนโลยีตรวจจับสภาพเครื่องจักรขณะกำลังเดินเครื่อง รวมทั้งการวินิจฉัยปัญหาด้วยแนวทางต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์การสั่นสะเทือ( Vibration) ความเยื้องศูนย์ของเพลา(Shaft Alignment) วิเคราะห์วงจรไฟฟ้า(Electrical Circuit Analysis) การใช้ตรวจจับภาพด้วยความร้อน(Thermographic Imaging) เป็นต้น โดยข้อมูลจะถูกบันทึกในระบบสารสนเทศเพื่อใช้วางแผนงานบำรุงรักษาต่อไป
- การจัดหาจัดซื้อและบริหารสต็อก
โดยมุ่งบริหารสต็อกที่ใช้สำหรับรายการถอดเปลี่ยนทดแทน(Replacement Assets) และอะไหล่ที่จัดเก็บในสโตร์ ข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกใช้ระบุข้อกำหนด(Specification) สำหรับวางแผนจัดซื้อโดยพิจารณาปัจจัยต้นทุนการจัดเก็บและช่วงระยะเวลานำการส่งมอบรายการที่จัดซื้อ(Lead-Time-to-Delivery of Replacement Parts) ที่มีผลกระทบต่อปัญหาการหยุดของสายการผลิต(Production Downtime) เพื่อหลีกเลี่ยงการจัดซื้อเร่งด่วน(Rush Purchase) และประหยัดต้นทุนทางธุรกรรมจัดซื้อ นอกจากนี้สารสนเทศต้องมีความเชื่อมโยงกับระบบการเงินเพื่อการจัดทำรายงานให้กับผู้บริหาร
- การบูรณาการระบบ
เมื่อได้ดำเนินการจัดทำระบบแต่ละส่วนเรียบร้อยแล้วทางทีมงานพัฒนาระบบจะดำเนินการรวบรวมสารสนเทศแต่ละส่วนเพื่อบูรณาการเป็นระบบเดียวกันที่สะดวกต่อการเข้าถึงในการร่วมใช้ข้อมูล ดังนั้นทางทีมงานต้องทำการวางแผนและศึกษาระบบอย่างรอบครอบ เพื่อหลีกเลี่ยงต่อความล้มเหลวของการบูรณาการระบบ เนื่องจากข้อมูลที่จัดทำขึ้นในแต่ละส่วนจะมีรูปแบบ(Format) แตกต่างกัน โดยทั่วไปเมื่อการบูรณาการระบบเสร็จสิ้นแล้วสารสนเทศส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับระบบองค์กรเพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผลและวางแผนงานบำรุงรักษาเพื่อลดความสูญเสียในสายการผลิต
สรุป
ระบบสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนงานบำรุงรักษา ดังนั้นความสำเร็จการพัฒนาจัดทำระบบจึงต้องมีการวางแผนและจัดเก็บข้อมูลที่มีความแม่นยำ รวมถึงการทบทวนและปรับปรุงข้อมูลต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบสารสนเทศมีความสอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน สามารถใช้เป็นแนวทางจัดทำแผนงานบำรุงรักษาและการรายงานผลที่สนับสนุนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล