โกศล ดีศีลธรรม
ผู้จัดการทั่วไป(General Manager)
บริษัท อีควิตี้ เซอร์วิสเซส แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด(Equity Services and Solutions)
ปัจจุบันงานบำรุงรักษาภาคการผลิตได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างผลิตภาพภายใต้สภาวะการแข่งขัน ซึ่งไม่เพียงแค่สนับสนุนการสร้างกลไกป้องกันความสูญเสียในสายการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนาส่วนงานสนับสนุนทั้งองค์กร ทำให้เกิดความมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับเพื่อมุ่งลดความสูญเสียให้เป็นศูนย์(Zero Losses) แต่ด้วยสภาวะแวดล้อมการแข่งขันและความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้ส่งผลให้องค์กรต้องสร้างศักยภาพการแข่งขัน โดยปัจจัยทางคุณภาพถูกบูรณาการกับแนวคิดการออกแบบด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและเชื่อมโยงกับกิจกรรมบำรุงรักษา ซึ่งต้องมีการวางแผนและดำเนินการฝึกอบรมให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจำแนกค่าใช้จ่ายที่ถูกใช้ในกิจกรรมบำรุงรักษาทั่วไปกับงานบำรุงรักษาด้วยตนเองและการตรวจติดตามวินิจฉัยสภาพเครื่องจักรด้วยระบบบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ดังกรณีการใช้อุปกรณ์ V-Starter Smart Vibration Analyzer วิเคราะห์ความสั่นสะเทือนเครื่องจักร เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประเมินความน่าเชื่อถือระบบ โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษาจะถูกจัดทำตามฐานงบประมาณ ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้
- ผู้บริหารระดับสูง(Top Management) กำหนดนโยบายและงบประมาณสำหรับงานบำรุงรักษาภายในรอบดำเนินงานถัดไป
- กำหนดแผนกำไร(Profit Plan) โดยใช้ปัจจัยค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษาแต่ละศูนย์ต้นทุน(Cost Center)หรือกลุ่มเครื่องจักรในรอบการดำเนินงานถัดไป
- นำข้อมูลการกำหนดจัดสรรงบประมาณงานบำรุงรักษาจากรอบเวลาที่ผ่านมาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำงบประมาณ
- ฝ่ายบำรุงรักษาดำเนินการจัดทำงบประมาณระดับฝ่ายงานให้สอดคล้องกับแผนกำไรและงบประมาณของแต่ละศูนย์ต้นทุน
- นำงบประมาณงานบำรุงรักษาที่จัดทำเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อดำเนินการอนุมัติ
ส่วนปัจจัยและเงื่อนไขการพิจารณาเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษา ได้แก่
- การออกแบบอุปกรณ์ คือ สิ่งที่ต้องพิจารณาลำดับแรก คือ หากการออกแบบเครื่องจักรไม่ดีก็จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือสายการผลิต ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างปัญหาให้กับฝ่ายบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงที่สูงขึ้น ดังนั้นช่วงการวางแผนจัดซื้อเครื่องจักรใหม่ทางวิศวกรบำรุงรักษาควรมีส่วนร่วมระบุข้อกำหนด(specification)ให้เหมาะกับการใช้งาน ส่วนเครื่องจักรเดิมที่กำลังใช้งานทางฝ่ายบำรุงรักษาควรทำการตรวจจับความผิดปกติและดำเนินการแก้ไขเมื่อได้ตรวจพบปัญหาตั้งแต่แรก ดังกรณี การใช้ Shaft Alignment Tool อย่าง Vibro-Laser เพื่อปรับความเยื้องศูนย์
- ปัญหาการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะวิธีการทำงานที่ผิดพลาดได้ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุและความชำรุดเสียหาย ดังนั้นจึงควรทำการฝึกอบรมให้หัวหน้างานและผู้ปฏิบัติงานให้มีทักษะการทำงานถูกต้อง รวมทั้งติดตั้งระบบป้องกันความผิดพลาดหรือ Poka Yoke
- รอบเวลาการวัดผล โดยต้องกำหนดรอบเวลาที่ชัดเจน เช่น สามเดือน หกเดือน หนึ่งปี เป็นต้น โดยทั่วไปรอบเวลาที่เหมาะสมในการประเมินวัดผลมักกำหนดช่วงระหว่างหกเดือนที่สอดคล้องกับการทำงบประมาณกลางปีและการประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรส่วนใหญ่
- การให้บริการบำรุงรักษา โดยประเมินประสิทธิผลงานบำรุงรักษาเครื่องจักร อาทิ การทำความสะอาด การปรับแต่ง การหล่อลื่น การปรับความเยื้องศูนย์ สามารถลดปัญหาการเดินเครื่องและประหยัดค่าใช้จ่ายงานซ่อมบำรุง
- เงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ฝุ่น อุณหภูมิ ความชื้น กรด ความสั่นสะเทือน ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการเร่งการเสื่อมสภาพเครื่องจักรและส่งผลต่อค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในสภาพที่มีผลกระทบทางลบต่อเครื่องจักรหรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปัญหาดังกล่าวอาจดำเนินการป้องกันการเสื่อมสภาพ เช่น การเคลือบผิวเพื่อป้องกันผิววัสดุจากการกัดกร่อนในอุตสาหกรรมเคมีหรือการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อลดแรงการสั่นสะเทือน
- ประเภทเครื่องจักร สำหรับเครื่องจักรที่ถูกออกแบบเพื่อใช้งานแต่ละวัตถุประสงค์มักมีความแตกต่างกันทั้งขนาดและสภาพการใช้งาน ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษา ดังนั้นช่วงออกแบบเครื่องจักรควรพิจารณาลำดับความสำคัญแต่ละองค์ประกอบเพื่อลดความซับซ้อนที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของระบบโดยรวม
- อัตราส่วนระหว่างกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน(Preventive Maintenance)เทียบกับการบำรุงรักษาหลังเกิดเหตุ(Breakdown Maintenance) ความแตกต่างระหว่างการบำรุงรักษาทั้งสองแบบนี้ขึ้นกับความถี่การดำเนินกิจกรรม ซึ่งการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะดำเนินการเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามแผนหรือเรียกว่า Time Based Maintenance เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อเนื่องก่อนที่เครื่องจักรจะเกิด Breakdown หรือกล่าวได้ว่าเมื่อนำกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกันปรับใช้กับระบบบำรุงรักษา ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินการสูงในช่วงเริ่มต้นเนื่องจากเหตุผล ดังนี้
- ความถี่ดำเนินการบำรุงรักษาช่วงต้น อาทิ การตรวจสอบสภาพ การปรับตั้งเครื่อง
- การถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อยังไม่หมดอายุการใช้งาน ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินการสูงขึ้น
- สำหรับช่วงแรกที่มีการนำระบบบำรุงรักษาเชิงป้องกันมาใช้มักจะโอนความรับผิดชอบการบำรุงรักษาจากฝ่ายผลิตไปยังฝ่ายบำรุงรักษาซึ่งเป็นเหตุให้ฝ่ายบำรุงรักษาใช้ความพยายามและทุ่มเททรัพยากรเพื่อให้งานบำรุงรักษามีความสมบูรณ์หรืออาจเกิดงานบำรุงรักษามากเกิน (Over-Maintenance) เป็นเหตุให้เกิดค่าใช้จ่ายมากช่วงแรก
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแสดงถึงค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษาที่สูงขึ้นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากการเริ่มดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายงานบำรุงรักษาควรมีแนวโน้มลดลงในระยะยาวและเกิดค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่าการบำรุงรักษาหลังเกิดเหตุ ซึ่งความสำเร็จการดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกันขึ้นกับความถี่ดำเนินกิจกรรมตรวจสอบและการแก้ไขปัญหา
8. ปรัชญาการจัดการบำรุงรักษาเครื่องจักร หากฝ่ายบริหารได้เข้าใจถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในงานบำรุงรักษาอย่างถ่องแท้แล้วก็จะส่งผลต่อกิจกรรมประจำวันของพนักงาน อาทิ การจัดทำมาตรวัดผลกิจกรรมปรับปรุงเครื่องจักร เกิดการฝึกอบรมเพื่อกระตุ้นให้พนักงานเห็นความสำคัญต่อกิจกรรมบำรุงรักษา และสร้างบรรยากาศให้เกิดความมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาเครื่องจักร
9. แผนการหยุดเดินเครื่องจักร การดำเนินการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อแผนการผลิตและงานบำรุงรักษา ดังนั้นการจัดทำแผนหยุดเดินเครื่องจะต้องมีการหารือและประสานงานระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายบำรุงรักษา อาทิ ฝ่ายบำรุงรักษาควรกำหนดว่าจะดำเนินการเมื่อใด วิธีการตรวจสอบและซ่อมบำรุง ระบบความปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ส่วนฝ่ายผลิตควรศึกษาผลกระทบและความเป็นไปได้ในการหยุดสายการผลิต นอกจากนี้แผนงานสามารถพิจารณาจากเงื่อนไขเวลา ได้แก่
- งานซ่อมตามรอบเวลา(Period Repair) โดยกำหนดรอบเวลาแผนระยะสั้นราว 1-3 เดือนและระยะเวลาหยุดเดินเครื่อง 10-20 ชั่วโมง
- งานซ่อมใหญ่(Major Repair) เป็นแผนงานที่มีรอบเวลาราว 6-12 เดือน และกำหนดระยะเวลาในการหยุดเครื่อง 5-10 วัน
- งานซ่อมระหว่างเปลี่ยนกะทำงาน(Shift Change) เป็นการหยุดเดินเครื่องจักรระหว่างเปลี่ยนกะทำงานแต่ละวัน
10. ประเภทค่าใช้จ่ายในงานบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นในรอบเวลา 6 เดือน อาทิ
- ค่าใช้จ่ายการเปลี่ยนชิ้นส่วนและอะไหล่ ได้แก่ ค่าวัสดุและแรงงานในการถอดเปลี่ยน
- ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและปรับตั้งเครื่องตามรอบเวลา เช่น การใช้อุปกรณ์ V-Starter Smart Vibration Analyzer วิเคราะห์ความสั่นสะเทือนเครื่องจักร เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการชำรุดของเครื่องจักร
- ค่าใช้จ่ายการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเพื่อการหล่อลื่น เช่น น้ำมันไฮโดรลิก น้ำมันเกียร์ จารบี
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด เช่น ค่าน้ำมันทำความสะอาด สีป้องกันสนิม และอุปกรณ์จับยึด
- ค่าใช้จ่ายปรับปรุงระบบการบำรุงรักษาและการผลิต ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายแต่ละโครงการ
สำหรับท่านที่สนใจเนื้อหาสาระและข้อมูลดี ๆ ด้านโซลูชั่นส์การบำรุงรักษาและงานบริการต่าง ๆ สามารถลงทะเบียนและติดตามที่เว็บไซต์ esspower.com